วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง

การจัดการเรียนการสอนในศตวรษที่ 21 เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งที่เรียน ได้เลือกกิจกรรมตามความสามารถ ได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้ ได้ฝึกปฏิบัติทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อน ได้ค้นหาคำตอบและแก้ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการเรียนรู้ที่          ผู้เรียนต้องใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่องโดยมีผู้สอนคอยสร้างบรรยากาศและจัด สิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ และเสริมแรงให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายที่สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์จริง  โดยการวัดประเมินการเรียนด้วยแบบทดสอบเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถประเมิน ครอบคลุมพฤติกรรมทุกด้านของผู้เรียนแล้วยังไม่อาจวัดกระบวนการคิดที่ซับซ้อน กระบวนการเรียนรู้ ทักษะทางสังคม ดังนั้นหากจะจัดรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ก็ควรเปลี่ยนวิธีการประเมินเป็นแบบการวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง ที่ใช้วิธีการที่หลากหลายที่สามารถวัดประเมินได้ทั้งทักษะการคิด  การทำงาน ความสามารถในการแก้ปัญหาและการแสดงออกที่เกิดจากการปฏิบัติในสภาพจริง เน้นพัฒนาการทั้งในส่วนของห้องเรียนและนอกห้องเรียน  ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการโดยมีผู้ประเมินหลายฝ่าย
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการวัดประเมินตามสภาพจริง
-  การแสดงความสามารถของผู้เรียนรายบุคคล
การวัดประเมินเพื่อสะท้อนถึงพฤติกรรมระดับความสามารถ และทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในสถานการณ์ที่เป็นจริงของการดำเนินชีวิต โดยการวัดประเมินและการสะท้อนผลการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนรับรู้และมีส่วนร่วมในการประเมินตนเอง ตลอดเวลา รวมถึงการมีส่วนร่วมวางแผนและเลือกกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสภาพผู้ เรียนด้วย
-  การบรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตร 
จุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาในทุกระดับชั้นจะกำหนดให้ผู้เรียนเกิด สมรรถนะทั้งในด้านความรู้ ทักษะ เจตคติ และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ตามธรรมชาติของรายวิชา แต่วิธีการวัดประเมินผลการเรียนรู้โดยใช้ข้อสอบเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะวัดได้เพียงแค่ด้านความรู้ไม่ครอบคลุมตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร การศึกษาอย่างแท้จริง กระบวนการวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง ผู้สอนจะต้องคอยสังเกต จดบันทึก และรวบรวมข้อมูลจากผลงาน วิธีการเรียนรู้สู่วิธีปฏิบัติของผู้เรียน โดยอิงตามพฤติกรรมบ่งชี้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร
-  การบูรณาการวิธีการและเครื่องมือในการประเมินอย่างหลากหลาย 
การวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง จะใช้เครื่องมือและเทคนิคการประเมินที่หลากหลาย ผู้สอนต้องใกล้ชิดผู้เรียนเพื่อสังเกต สอบถาม รววบรวมเอกสารตัวอย่างงาน  และสรรหาวิธีการที่สามารถกระตุ้นผู้เรียนให้เรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ จนสามารถประเมินได้ว่าผู้เรียนรู้อะไรบ้างและเรียนรู้อย่างไร สามารถบูรณาการสิ่งที่เรียนรู้เข้าด้วยกันหรือเชื่อมโยงผลการเรียนรู้ไปสู่ ชีวิตจริงการประเมินเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของหลักการวัดประเมินผลการเรียน รู้ตามสภาพจริง
-   ส่งเสริมการเรียนรู้จากสภาพจริง (Authentic learning)
การวัดประเมินตามสภาพจริง จะต้องมีการรวบรวมผลงานจากภาคปฏิบัติและผลงานที่เกิดจากกิจกรรมการเรียนรู้ ตามสภาพจริงที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของผู้เรียน ซึ่งเน้นให้เห็นถึงพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้ใน สภาพจริง รวมทั้งกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียนรวมถึงแหล่ง เรียนรู้ต่างๆ ที่ผู้สอนกำหนดไว้ ดังนั้นการประเมินตามสภาพจริงต้องประเมินทั้งจากภาคปฏิบัติ (performance assessment) ด้วยการสังเกตพฤติกรรมการทำงานของผู้เรียนว่าเป็นไปที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ หรือไม่ และต้องวัดประเมินจากสภาพจริงที่ผู้เรียนลงมือปฏิบัติและแสดงพฤติกรรมใน บริบทของความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน
วิธีการวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
1. การสังเกต
การสังเกต เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลจากสภาพจริงอย่างหนึ่ง โดยการสังเกต จะใช้ประเมินการแสดงออกและกระบวนการที่ผู้เรียนใช้ในการทำกิจกรรม ทำให้ผู้สอนสามารถทราบพฤติกรรมของผู้เรียนเป็นรายบุคคล และสามารถนำไปสรุปเป็นความคิดเห็นของผู้เรียนได้ การสังเกตมี 2 วิธี คือ
-  การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participant observation) เป็นการสังเกตที่ผู้สอนต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนร่วมโดยตรงกับกิจกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
-  การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (non participant observation) เป็นการสังเกตที่ผู้สอน ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์โดยตรงแต่จะใช้วิธีสังเกตอยู่วงนอก ซึ่งทำให้ใช้เวลาในการเก็บข้อมูลน้อยกว่าวิธีแรกแต่ขาดข้อมูลเชิงลึกที่อยู่ เบื้องหลังของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
ในมุมมองของการวิจัยเชิงคุณภาพ การสังเกตเป็นวิธีการเบื้องด้นในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์หรือ พฤติกรรมของบุคคล โดยอาศัยประสาทสัมผัส(sensation) ของผู้สังเกตโดยตรงซึ่งอาจใช้ร่วมกับการเก็บรวบรวมข้อมูลอื่นๆ จุดเด่นที่สำคัญของการสังเกต คือทำให้รู้พฤติกรรมที่แสดงออกเป็นธรรมชาติเป็นข้อมูลที่ตรงตามสภาพความเป็น จริง จัดเป็นข้อมูลซึ่งมีความน่าเชื่อถือมาก เครื่องมือที่ใช้ประกอบการสังเกตมีหลายชนิด เช่น
- แบบบันทึกพฤติกรรม เป็นการบันทึกข้อมูลเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ เรียนในแต่ละวัน การบันทึกข้อมูลอาจจะทำอย่างละเอียดหรือย่อๆ ก็ได้ โดยปกติจะบันทึกหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น โดยทั่วไปมักเขียนเป็นรายงานที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงอย่างสั้นกะทัดรัด รวมทั้งสิ่งที่พูดหรือทำโดยสมาชิกในกลุ่ม การสังเกตอย่างชำนาญและบันทึกอย่างเที่ยงตรงต้องให้บันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญ และจำเป็นได้ และยิ่งการบันทึกทำทันทีหลังจากเหตุการณ์เร็วเท่าใด จะทำให้ได้ข้อมูลมากและมีความแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น  การบันทึกพฤติกรรมที่ดีควรบันทึกทันทีหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น อย่างไร ก็ตามมักจะเป็นไปไม่ได้ เพราะผู้สอนมีกิจกรรมในชั้นเรียนอยู่ตลอดเวลา การบันทึกพฤติกรรมจึงมักจะทำภายหลังจากจบคาบเรียน แต่บางครั้งหากบันทึกภายหลังจบคาบเรียน ผู้สอนมักจะจำเหตุการณ์ไม่ได้ดังนั้นผู้สอนอาจจดบันทึกย่อๆ แล้วลงมือเขียนขยายความภายหลังทันที
-   แบบสำรวจรายการ เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการบันทึกข้อมูลการสังเกตแบบตั้งใจ อย่างเป็นระบบชนิดหนึ่ง โดยแบบสำรวจรายการจะช่วยในการบันทึกแบบตั้งใจที่จะดูพฤติกรรม หรือการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าเกิดขึ้นหรือไม่ องค์ประกอบของแบบสำรวจรายการ ได้แก่ คุณลักษณะ ทักษะ ความสนใจ และพฤติกรรมที่มุ่งหวังตามผลของการเรียนรู้ในแต่ละระดับ แบบสำรวจรายการ จะใช้ในการประเมินการแสดงออก กระบวนการและผลผลิตของผู้เรียน แบบสำรวจรายการที่ดีจะช่วยให้ผู้สอนสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เหมาะ สมกับผู้เรียน นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้สอนประเมินผู้เรียนได้ลึกซึ้ง โดยทั่วไปแบบสำรวจ รายการจะใช้กับผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยๆ จำนวน 4 – 5 คนในแต่ละวัน เพราะหากสังเกตทั้งชั้น ในวันเดียวย่อมจะดูแลไม่ทั่วถึง นอกจากนี้ในการรายงานวามก้าวหน้าของผู้เรียน การประเมินความก้าวหน้าของชั้นเรียนในโครงการบางอย่าง การประเมินโดยใช้แบบสำรวจรายการแบบเป็นกลุ่มจะใช้ได้ดี
ประโยชน์ของการสังเกต
-  ทำให้ทราบความสามารถในการทำงานของผู้เรียนรวมไปถึงท้กษะในการทำงาน วิธีการทำงาน ความก้าวหน้าในการทำงาน
-   ทำให้ผู้สอนได้แนวทางในเรื่องรายละเอียดของผู้เรียน สามารถแก้ใขเกี่ยวกับข้อบกพร่อง ต่างๆ ของผู้เรียน และมีความเข้าใจในตัวผู้เรียนดีขึ้น
การทำให้การสังเกตมืความเที่ยงตรง
การสังเกตมีจุดบกพร่องใหญ่ๆ อยู่ 2 ประการ คือ ความเชื่อมั่น และความเที่ยงตรงในการสังเกต ผู้ที่จะสังเกตสามารถทำให้เครื่องมีอมีความเที่ยงตรงกับวัตถุประสงค์อย่าง แท้จริงได้ดังนี้
-   ระยะเวลาที่สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล อย่าสังเกตเพียงครั้งเดียวแล้วตัดสินต้อง สังเกตหลายๆ ครั้งและจะต้องสังเกตในเวลาที่ต่างกัน
-   ควรใช้ผู้สังเกตมากกว่า 1 คน เพราะจะทำให้ความลำเอียงในการสังเกตลดน้อยลงได้ จะเพิ่มความเชื่อมั่นในการสังเกตด้วย
-   มีการทำบันทึกท้นทีและแปลผลการสังเกตหลังบันทึก
-   แบบจัดบันทึกควรจะเป็นการบันทึกพฤติกรรมเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเท่านั้น
-   ควรมีคู่มือในการสังเกตควบคู่กันกับแบบบันทึกผลการสังเกต คู่มือนั้นควรระบุบอกลักษณะของพฤติกรรมที่จะสังเกตได้ วิธีการจัดบันทึก ตลอดจนเกณฑในการให้คะแนนผู้สังเกตควร จะได้ศึกษาคู่มือก่อนท่าการสังเกต
หลักการสังเกต
-   มีจุดมุ่งหมาย ต้องทราบว่าจะสังเกตพฤติกรรมในเรื่องใด พร้อมทั้งแจกแจงการ แสดงออกของพฤติกรรมนั้นให้ละเอียด
-   การรับรู้รวดเร็ว ผู้สังเกตสามารถมองเห็นพฤติกรรม หรืออาการที่ผู้เรียนแสดงออกมาได้อย่างรวดเร็ว
เพราะการแสดงพฤติกรรมบางชนิดเมื่อแสดงออกมาแล้วจะผ่านไปไม่เกิดซ้ำบ่อยๆ หรือไม่อาจเกิดขึ้นอีกเลยก็ได้
-   สังเกตหลายคน หรือหลายครั้ง วิธีการที่จะท่าให้ผลการสังเกตที่ได้เป็นที่น่าเชื่อถือได้ หรือมีความเชื่อมั่นสูง ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ผู้สังเกตหลายคน เช่น 2-5 คน
-   สังเกตให้ตรงกับความจริง การสังเกตที่ดีต้องพยายามให้ใต้พฤติกรรมการแสดงออกที่ เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของผู้เรียนมากที่สุด จึงจะเกิดคุณภาพ
-   มีการบันทึกผลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว
2.   การสัมภาษณ์
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้!นการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมต้านต่างๆ ได้ดี เช่น ความคิด ความรู้สึก กระบวนการในการทำงาน วิธีการแก้ปัญหา เนื่องจากการสัมภาษณ์สามารถสังเกตพฤติกรรมต่างๆ ของผู้ตอบ การสัมภาษณ์แบ่งออกได้ เป็น 2 ประเภทคือ
-   การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง หรือการสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการเป็นการสัมภาษณ์ที่มีคำถามและ ข้อกำหนดตายตัว
-   การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง เป็นเทคนิคที่ไม่ได้กำหนดคำถามไว้ล่วงหน้า ผู้สัมภาษณ์สามารถตั้งคำถามในประเด็นที่เขาสนใจได้อย่างต่อเนื่อง
ขั้นตอนการสัมภาษณ์
-   การเตรียมการสัมภาษณ์ได้แก่ การเลือกกลุ่มตัวอย่าง เตรียมงานขั้นตันเกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่าง วางแผนการสัมภาษณ์ ซ้อมสัมภาษณ์บุคคลอื่นที่มิใช่ผู้ตอบ เพื่อจะได้แก้ไขคำถามให้สมบูรณ์ เตรียมอุปกรณ์จดบันทึก และการนัดหมายกับผู้ตอบ
-   ขั้นเริ่ม การสัมภาษณ์ได้แก่ การสร้างบรรยากาศให้มีความเป็นกันเอง บอกวัตถุประสงค์ การจดบันทึกหรือใช้เครื่องบันทึกเสียงต้องแจ้งให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ พูดคุยก่อนสัมภาษณ์จริง
-   ขั้นสัมภาษณ์และบันทึกข้อมูล ได้แก่ ใช้คำถามที่เตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นแนวทางในการสัมภาษณ์ ตั้งใจฟังและป้อนคำถามในจังหวะที่เหมาะสม ใช้ภาษาที่สุภาพและเข้าใจง่าย
3. แบบสอบถาม
แบบสอบถามเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เก็บรวบรวม ข้อมูลด้านต่างๆ ที่ต้องการทราบจากผู้ตอบ ซึ่งแบบสอบถามอาจจะมีลักษณะการสร้างขึ้นเพื่อทดแทนการสัมภาษณ์แบบสอบถามไม่ มีการตัดสินว่าถูกหรือผิด แบบสอบถามจำแนกตามลักษณะของข้อคำถาม อาจจะมีหลายชนิด เช่น
-   ข้อคำถามชนิดให้เขียนตอบ อาจเป็นการเขียนสั้นๆ หรือเติมคำในช่องว่างที่กำหนดให้ข้อคำถามชนิดนี้มักจะใช้ในการเก็บข้อมูลที่ หลากหลายไม่สามารถเดาคาดคะเนคำตอบได้ว่ามีรายละเอียดอย่างไร หรือจัดเป็นหมวดหมู่ได้ยาก ลักษณะข้อมูลมีทั้งส่วนที่เป็นเท็จและเป็นจริงซึ่ง เป็นข้อมูลเรื่องทั่วไปและความคิดของผู้เรียน
-   ข้อคำถามชนิดเลือกตอบจากตัวเลือกที่กำหนดไว้ ซึ่งอาจเป็นแบบให้เลือกตอบเพียงตัวเลือกเดียวหรือหลายตัวเลือก ข้อคำถามชนิดนี้มักใช้เก็บรวบรวมข้อมูลจากคำถามที่มีแนวตอบที่แน่ชัดอยู่ แล้ว ข้อมูลสามารถนำมาจัดเป็นหมวดหมู่ได้ ลักษณะของข้อมูลมักจะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อมูล ทั่วไป
-   ข้อคำถามแบบมาตราส่วนประมาณคำ ซึ่งใช้กรณีที่ต้องการข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับความสำคัญหรือระดับ ของปัญหา หรือระดับความต้องการของข้อความแต่ละข้อว่าอยู่ในระดับใด
-   ข้อคำถามที่ให้จัดลำดับความสำคัญของคำถามที่กำหนดให้ ใช้ในกรณีที่ต้องการทราบลำดับความสำคัญของข้อความแต่ละข้อในกลุ่มข้อความที่ กำหนดให้กลุ่มหนึ่งว่ามีความสำคัญเรียงลำดับอย่างไร
ในการประเมินตามสภาพจริงที่ใช้แบบสอบถามควรพิจารณาใช้แบบสอบถามปลายเปิด ชนิดเขียนตอบด้วยแบบสอบถามประเภทนี้ไม่มีคำตอบที่แน่นอน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดง ความคิดที่อิสระปราศจากแรงกดดันใดๆ ในการแสดงถึงการแก้ปัญหาที่ไม่มีการตัดสินว่าสิ่งที่ได้แสดงความคิดเห็นไป นั้นถูกหรือผิด คำตอบที่ได้เป็นเครื่องชี้วิธีการทำงาน ความคิดและบุคลิกภาพ ของผู้เรียนเอง
4.   การตรวจผลงาน
การตรวจผลงานเป็นวิธีการประเมินที่ผู้สอนใช้เป็นประจำและใช้บ่อยที่สุด อีกวิธีการหนึ่ง การตรวจผลงานจะเป็นการช่วยเหลือผู้เรียนที่ยังประสบปัญหาในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน ประการหนึ่งส่วนอีกประการหนึ่งเป็นการน่าข้อมูลที่ได้จากการตรวจผลงานมาใช้ ในการปรับปรุงการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนของผู้สอน  การวัดประเมินผลจากการตรวจผลงาน ผู้สอนสามารถดำเนินการได้ตลอดเวลาเช่น การตรวจแบบฝึกหัดผลการปฏิบัตตามโครงการหรือโครงงานต่างๆ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ผู้สอนสามารถประเมินพฤติกรรมระดับสูงของผู้เรียนได้เป็น อย่างดี
ข้อเสนอแนะสำหรับการตรวจผลงาน
-    ผู้สอนอาจกำหนดงานร่วมกับผู้เรียนและไม่ควรเป็นชิ้นเดียว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องนำงานทุกชิ้นมาประเมิน อาจเลือกเฉพาะชิ้นงานที่ผู้เรียนทำได้ดี และการบอกความหมายความสามารถของผู้เรียนตามลักษณะที่ผู้สอนต้องการประเมิน ได้ วิธีนี้เป็นการเน้นจุดแข็งของผู้เรียน นับเป็นการเสริมแรงสร้างแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนพยายามผลิตงานที่ดีๆ ออกมามากขึ้นอีกวิธีหนึ่ง
-   จากแนวคิดตามข้อ 1 ชิ้นงานที่นำมาประเมินแต่ละคนจึงไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเดียวกัน เช่น ผู้เรียนคนที่ 1 งานที่ (ทำได้ดี) ควรหยิบมาประเมินอาจเป็นชิ้นงานที่ 2, 3, 5 ส่วนผู้เรียนคนที่ 2 งานที่ควรหยิบมาประเมินอาจเป็นชิ้นงานที่ 1, 2, 4 เป็นต้น
-   อาจประเมินชิ้นงานที่ผู้เรียนทำนอกเหนือจากที่ผู้สอนกำหนดได้ แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ผู้เรียนทำเองจริงๆ เช่น สิ่งประดิษฐ์ที่ผู้เรียนทำเองที่บ้าน หรือสิ่งที่ผู้เรียนทำขึ้นเองตามความสนใจ เป็นต้น การใช้ข้อมูลและหลักฐานผลงานอย่างกว้างขวางจะทำให้ ผู้สอนรู้จักผู้เรียนมากยิ่งขึ้นและประเมินความสามารถของผู้เรียนตามสภาพที่ แท้จริงของเขาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
-   ผลของการประเมินไม่ควรที่จะบอกคะแนนหรือคุณภาพที่เป็นเฉพาะต้วเลขอย่างเดียว แต่ควรที่จะบอกความหมายของผลของคะแนนด้วย
5.   การใช้บันทึกจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง
การประเมินความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียน นอกจากผู้สอนจะใช้วิธีการและเครื่องมือต่างๆ ที่หลากหลายแล้ว ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้บุคคลที่เกี่ยวข้องและใกล้ชิดกับผู้เรียนได้ มีส่วนร่วมในการรายงานข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการประเมินด้วย การประเมินจากบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายๆ คนจะเป็นการหาความเชื่อมั่นของการประเมินจากสภาพความเป็นจริงอีกทางหนึ่ง ข้อมูลที่ได้จากบุคคลที่เกี่ยวข้องมีจุดเด่นตรงที่จะได้ข้อมูลของผู้เรียน จากสถานการณ์ต่างๆ และจากเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จัดว่ามีความสำคัญในการที่จะนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปผล โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน เช่น เพื่อนผู้เรียน เป็นต้น
6.   แบบทดสอบวัดความสามารถที่เป็นจริง 
ข้อสอบจะใช้คำถามที่เกี่ยวกับการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ ต่างๆ หรือการสร้างความรู้ใหม่จากความเข้าใจและประสบการณ์เดิม หรือสถานการณ์จำลองที่กำหนดขึ้นให้คล้ายคลึงกับสถานการณ์จริงหรือเลียนแบบ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง  เช่น ข้อสอบวัดทักษะการใช้ภาษาเพื่อสื่อสาร  ข้อสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
7.   การรายงานตนเอง
การให้ผู้เรียนเขียนบรรยายความรู้สึก หรือพูดแสดงความคิดเห็นออกมาโดยตรง  เพื่อประเมินความรู้สึกนึกคิด ความเข้าใจ และความต้องการของผู้เรียน ซึ่งช่วยให้ผู้สอนเข้าใจผู้เรียนมากขึ้นและสามารถประเมินผลการเรียนรู้ด้าน ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการ รวมถึงทัศนคติต่อการเรียนรู้ได้
8.   การใช้แฟ้มสะสมผลงาน
การจัดเก็บตัวอย่างผลงานที่มีการรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ และกระทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้เรียนในด้านความรู้ ความเข้าใจ และทักษะต่างๆ ที่ผู้เรียนพัฒนา ทั้งนี้ผลงานสามารถนำมาประกอบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนให้มีความน่า เชื่อถือได้
วิธีการให้คะแนนในการวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
การวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง มีวิธีการหลากหลายในการให้คะแนนโดยมีรายละเอียดดังนี้
-   การให้คะแนนแบบไม่ชัดเจน (ตามใจผู้ประเมิน) เช่น ในการตรวจให้คะแนนโครงงาน ถ้ากำหนดคะแนนเต็ม 10 คะแนน ผู้สอนอาจใช้เกณฑ์ในใจซึ่งเป็นไปตามความคิดของผู้สอน ตัดสินให้คะแนนตามที่ห็นสมควรเป็น 6, 8 คะแนน เป็นต้น มีแนวโน้มที่จะเกิดความลำเอียงได้ง่าย การให้คะแนนเช่นนี้เป็นการยากต่อการแปลความหมาย
-   การให้คะแนนแบบถูกผิดชัดเจน เช่น ในการตรวจข้อสอบเมื่อตอบถูกตรงตามเฉลยก็ได้คะแนนเต็ม แต่เมื่อตอบผิดก็ไม่ได้คะแนนดังที่ใช้ในการตรวจข้อสอบแบบถูกผิด แบบจับคู่ หรือแบบตัวเลือก
-   การให้คะแนนแบบมาตรประมาณค่า (Rating scales) เป็นการให้คะแนนตามช่วงของความถูกต้องของคำตอบ หรือการแสดงพฤติกรรม หรือคุณภาพของชิ้นงาน เช่น ในมาตรประมาณค่า 5 ช่วง หรือ 3 ช่วง ฯลฯ เมื่อตอบถูกมากที่สุดหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยที่สุดหรือชิ้นงานมีคุณภาพมากที่ สุดจะได้ 5 คะแนน ลดหลั่นลงไปตามลำดับจนถึง 1 คะแนนเมื่อตอบถูกต้องน้อยที่สุด หรือแสดงพฤติกรรมน้อยที่สุด หรืองานมีคุณภาพน้อยที่สุด เป็นต้น การให้คะแนนวิธีนี้มีเชื่อถือได้มากขึ้นแต่ยังไม่สมบูรณ์ที่จะให้ข้อมูล ป้อนกลับในเชิง “คุณภาพ” ว่าส่วนที่บกพร่องไปนั้นคืออะไร
-   การให้คะแนนตามเกณฑ์การให้คะแนน หรือรูบริค (Rubric)  วิธีการให้คะแนนที่ใช้หลักการของมาตรประมาณค่าประกอบกับการพรรณนาคุณภาพ กล่าวคือ แทนที่จะใช้ตัวเลข เช่น 5 – 4 – 3 – 2 – 1 หรือ 3 – 2 – 1 ฯลฯ มีการแปลความหมายกำกับด้วยและเพิ่มข้อมูลรายละเอียดว่าคะแนนที่ได้ลดหลั่นลง ไปมีความบกพร่องที่บ่งชี้เป็นข้อมูลเชิง “คุณภาพ” ว่าเป็นอย่างไร ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ผนวกอยู่กับข้อมูลเชิงปริมาณในการให้คะแนนแบบรูบริคนี้ มีประโยชน์ในการให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้ถูกประเมิน ซึ่งเป็นการตอบสนองหลักการของการประเมินผลเพื่อการปรับปรุง

แหล่งอ้างอิง
1. ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2554). 80 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ. กรุงเทพฯ : แดแน็กซ์ อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น. พิมพ์ครั้งที่ 4.
2.  สมศักดิ ภู่วิภาดาวรรธน์. (2545). การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการประเมินตามสภาพจริง. เชียงใหม่: โรงพิมพ์แสงศิลป์.
3.  สุนันท์ ศลโกสุม. (2552). การวัดผลการศึกษา. กรุงเทพฯ: สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
4.  ชาตรี เกิดธรรม. แนวคิดในการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้. แหล่งที่ค้นคว้าจากเว็บไซด์ : http://edu.vru.ac.th/sct/cheet%20downdload/6.pdf

ความสำคัญของการวัดและประเมินตามแนวปฏิรูปการศึกษา

          การวัดและการประเมิน (Assessment) คือ กระบวนการจัดเก็บข้อมูล รวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสิน (Determine) ระดับของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ผลความ สำเร็จที่พึงปรารถนาหรือผลความสำเร็จตามมาตรฐานคุณภาพผลการเรียนรู้
          การวัดและการประเมินคุณประโยชน์
    1. ช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนเข้าใจตรงกันในผลการเรียนรู้ที่เป็นมาตรฐานที่ต้องการให้
    2. บังเกิดขึ้นจากการเรียนการสอนและจัดทำเป็นเกณฑ์สำหรับการตรวจสอบ
    3. ช่วยเพิ่มการเร่งเร้าเพียรพยายามร่วมกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียนที่จะใช้กระบวนการ
    4. เรียนรู้ที่หลากหลาย ใช้อุปกรณ์สื่อนวัตกรรมต่างๆ เพื่อมุ่งไปสู่การบรรลุผลการเรียนตามเกณฑ์ข้อ 1
    5. ช่วยให้มีการบันทึกพฤติกรรมของผู้เรียน ติดตามผลการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนถึงการ
    6. ใช้เครื่องมือและเทคนิคการวัดและการประเมินที่ผ่านการเลือกสรร และออกแบบอย่างดีให้สามารถวัดผลการเรียนรู้อย่างแม่นยำ เชื่อถือได้
    7. ช่วยให้เกิดการตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องเทียบกับ
    8. เกณฑ์ที่จัดทำไว้ล่วงหน้า ทำให้เกิดการบันทึกผลการเรียนรู้เป็นรายบุคคล ระบุผลการเรียนรู้ที่ผู้เรียนทำได้น่าพอใจผ่านเกณฑ์ ระบุผลการเรียนรู้ที่ยังบกพร่อง
    9. ช่วยส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนรายบุคคลเป็นสำคัญ  โดยนำผลการเรียนรู้ที่บกพร่องมาวิเคราะห์ปัญหาสาเหตุ  ทำให้ผู้สอนช่วยคิดค้นเทคนิคกระบวนการเรียนรู้นำมาใช้แก้ไขข้อบกพร่องทางการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างเหมาะสม  ช่วยทำให้ผู้เรียนรายบุคคลสามารถเรียนรู้ได้ครบถ้วนตามมาตรฐาน
ความหมายและความสำคัญของการวัดและประเมินตามสภาพจริง
          การวัดและประเมินตามสภาพจริง คือ กระบวนการวัดผลการเรียนรู้ตามแนวทาง 3 ประการ คือ
1.  วัดครบถ้วนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ได้จริง
วัดความสามารถทางความรู้ ความคิดได้จริง (Cognitive Ability) วัดความสามารถในการปฏิบัติได้จริง (Performance/Practice Ability)
วัดคุณลักษณะทางจิตใจได้จริง (Affective Characteristics)
             2.  วัดได้ตรงความเป็นจริง คือ สิ่งที่วัดได้นั้นเป็นข้อมูล เป็นการแสดงพฤติกรรมที่สะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน  ทั้งความสามารถทางความรู้  ความคิด  ความสามารถในการปฏิบัติและคุณลักษณะทางจิตใจ  มีความคลาดเคลื่อนผิดพลาดน้อยที่สุด  ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ด้อยความสามารถได้คะแนนสูง  ตัดความผิดพลาดที่ผู้มีความสามารถสูงกลับได้คะแนนน้อย
             3.  เลือกสรร  คิดค้นเครื่องมือและเทคนิคการวัดผลที่เป็นการวัดพฤติกรรมที่แท้จริงที่แสดงออกซึ่งความสามารถของผู้เรียน  (Ability to do)  ซึ่งอาจได้จากการสังเกตุพฤติกรรมผู้เรียน  สังเกตจากการปฏิบัติภาระงาน (Tasks) ที่จัดให้ปฏิบัติในสถานการณ์ที่ผู้สอนจะกำหนด สังเกตจากร่องรอยหลักฐานผลการปฏิบัติภาระงานของผู้เรียน เป็นต้น
ตัวอย่างการวัดผลตามสภาพจริง
    1. สิ่งที่จะวัด : ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ติดตา ต่อกิ่ง ตอน ฯลฯ
    2. แนวการวัด
      ระดับการวัดที่พอใช้ได้ : ให้ผู้เรียนเขียนหรือพูดยกตัวอย่างพืชในสถานการณ์จริง อธิบายขั้นตอนการปฏิบัติได้ถูกต้องครบถ้วน
      ระดับที่ดี : ผู้เรียนสามารถปฏิบัติจริงในการนำพืชที่มีอยู่มาแสดงวิธีการขยายพันธุ์พืช เป็นขั้นตอนได้ครบถ้วน ถูกต้องและมีผลความสำเร็จในผลงานขั้นสุดท้ายที่ขยายพืชได้สำเร็จ
    3. สิ่งที่จะวัด : ความสามารถในการประยุกต์วิธีการคำนวณ พื้นที่ ปริมาตร
    4. แนวทางวัด : ระบุสถานการณ์จริง เช่น ห้องเรียนให้คำนวณพื้นที่ที่จะทาสีที่มีราคา
      ต่างกันตามประเภทของสี ที่ขายเป็นแกลลอน สรุปเป็นจำนวนแกลลอนและราคาค่าใช้จ่าย ที่จะทาสีผนังและเพดาน
    5. สิ่งที่จะวัด : ความสามารถในการใช้ภาษาอย่างสร้างสรรค์
    6. แนวการวัด : กำหนดสถานการณ์จริง เช่น ให้เขียนบทความรณรงค์แก้ปัญหาของหมู่
      บ้าน การเขียนจดหมายขอให้นักธุรกิจสนับสนุนกิจกรรมกีฬาของ
      โรงเรียน การแสดงสำนวนโวหารในการโต้วาที ฯลฯ
    7. สิ่งที่จะวัด : ความสามารถในทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
    8. แนวการวัด : จัดสถานการณ์ให้ดำเนินการทดลองในห้องปฏิบัติการ เน้นให้ใช้อุปกรณ์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ สังเกตและบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลการทดลอง
                             หรือให้ทำโครงการวิทยาศาสตร์ครบวงจร ตั้งแต่การกำหนดวัตถุประสงค์ การจัดสิ่งที่จะต้องใช้ในการปฏิบัติ การตังสมมุติฐานการออกแบบตัวแปร การวัดตัวแปรการบันทึกข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การทดสอบสมมุติฐาน การสรุปผลเป็นองค์ความรู้
    9. สิ่งที่จะวัด : ความสามารถในการจัดภาพและออกแบบสีน้ำได้เหมาะสม
    10. แนวการวัด : ให้ผู้เรียนวาดภาพ กำหนดสถานการณ์จริง หรือจินตนาการ ใช้สีน้ำให้คะแนนตามหลักการจัดภาพและการใช้สีน้ำที่ดี
    11. สิ่งที่จะวัด : ความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่
แนวการวัด : สังเกตและบันทึกพฤติกรรมความรับผิดชอบในแต่ละสัปดาห์ เช่น การเข้าเรียนตามเวลาสม่ำเสมอ การส่งแบบฝึกหัดครบถ้วนตามกำหนด ปฏิบัติงานกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย จัดเวลาทำกิจกรรมของตนและควบคุมตนเองได้ครบถ้วน ฯลฯ
ข้อควรคำนึง
    1. การออกแบบการวัดและประเมินตามสภาพจริง ควรแปลความหมายของจุดประสงค์  การเรียนรู้ที่ต้องการจะวัดว่า “การเรียนมีคุณสมบัติตามจุดประสงค์นี้ครบถ้วนจริง เขาควรมีพฤติกรรมการแสดงออกอย่างไรที่ต่างจากพฤติกรรมของผู้ขาดคุณสมบัติตามจุดประสงค์นี้”
    2. การแปลจุดประสงค์การเรียนรู้ออกเป็นภาระงานที่ผู้เรียนจะต้องบปฏิบัติในกิจกรรม  การเรียนการสอนแต่ละคาบ จะช่วยลดภาระการสร้างแบบวัดแบบประเมินของผู้สอนลงได้ เพราะผู้สอนเพียงแต่จัดระบบสังเกตพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียน ตรวจสอบผลงานการฝึกปฏิบัติบันทึกลงระบบระเบียนก็จะช่วยการวัดการประเมินได้
    3. การใช้วิธีกำหนดผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็ก ให้หมุนเวียนกันทำหน้าที่ประสานงานกลุ่ม  ผสมผสานกับการกำหนดเกณฑ์การวัดการประเมินในแต่ละชิ้นงาน หรือภาระงานให้ชัดเจน  ผู้สอนจะสามารถให้มีการวัดและการประเมินกันเองในกลุ่มได้ โดยผู้สอนทำหน้าที่ติดตามประเมินการประเมินของผู้เรียนเป็นครั้งคราวจะช่วยทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนมากขึ้น             ที่มาของข้อมูล : ดร.สงบ  ลักษณะ
      รวบรวม จัดเตรียมข้อมูล  พัฒนา และนำเสนอ : น.ส.นิภา  แย้มวจี (21 ธ.ค. 2544)
      หน่วยงาน :   กลุ่มพัฒนาระบบสารสนเทศ ศูนย์สารสนเทศ สป. ศธ.